โดยปกติคอนกรีตจะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านรูปร่างบ้างจากผลการของการที่ต้องสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมหรือจากน้ำหนักบรรทุกที่กระทำ ซึ่งทำให้คอนกรีตเกิดการหดตัวอย่างถาวร เช่นการหดตัวของคอนกรีตจากการสูญเสียน้ำ การหดตัวแบบแห้ง การคืบ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีผลการกระทำอื่ินๆ ที่เกิดขึ้น เป็นวงจรในขณะที่มีการใช้งานโครงสร้าง เช่น การเปลี่ยนแปลงความชื้น อุณหภูมิ หรือน้ำหนักบรรทุกใช้งานเป็นต้น ซึ่งมีผลต่อการหดตัวขยายตัวอย่างเป็นวงจร และยังมีโอกาสการที่จะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงปริมาตรอย่างผิดปรกติ เช่นการขยายตัวของคอนกรีตเนื่องจากซัลเฟต ปฏิกิริยาของด่างกับมวลรวมเป็นต้น
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ทำให้โครงสร้างเกิดการเคลื่อนไหว ทั้งแบบชั่วคราวและแบบถาวร ซึ่งการเคลื่อนไหวถ้าเกิดอย่างรุนแรง เช่นมีการหดตัวอย่างมากอาจจะทำให้คอนกรีตเกิดการแตกร้าวได้ ทำนองเดียวกันถ้าคอนกรีตมีการขยายตัวมากเกินไปก็อาจจะทำให้คอนกรีตเกิดการบิดเสียรูป แตกร้าวหรือบดแตกได้ ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ในช่วงของการออกแบบโครงสร้าง ซึ่งหนึ่งในวิธีการดังกล่าวคือ การสร้างรอยต่อ (Joints) ให้กับโครงสร้างในตำแหน่งที่เหมาะสมที่ไม่ทำให้ความมั่นคงแข็งแรงของโครงสร้างเสียไป
นอกจากนี้ยังมีเหตุผลอื่นๆ ในการที่จะสร้างรอยต่อในโครงสร้างคอนกรีต เช่น โครงสร้างคอนกรีตอาคารจะมีหน้าที่รองรับ Curtainwalls, Cladding ประตู หน้าต่าง และชิ้นส่วนประกอบอื่นๆ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีรอยต่อระหว่างชิ้นส่วนต่างๆ เหล่านี้เพื่อลดหน่วยแรงที่จะกระทำกับคอนกรีตอันเนื่องมาจากการขยายตัว หดตัว และการเสียรูปของชิ้นส่วนเหล่านี้
นอกจากนี้รอยต่อที่เกิดขึ้นก็อาจจะเนื่องมาจากความต้องการที่จะให้การก่อสร้างทำได้ง่ายขึ้นโดยที่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในด้านโครงสร้างเลย
No comments:
Post a Comment