Saturday, April 13, 2013

Type of Structural Concrete Joint

รอยต่อชนิดต่างๆ ในโครงสร้าง 
1. รอยต่อก่อสร้าง (Construction joints) คือรอยต่อที่เกิดจากการเทคอนกรีตที่ไม่ต่อเนื่อง ซึ่งตำแหน่งที่ถูกต้องเหมาะสมของรอยต่อก่อสร้างจะต้องระบุโดยผู้ออกแบบและ ผู้รับจ้างและระบุอยู่ในแบบรูปเพื่อมั่นใจได้ว่ามีการถ่ายแรงที่ถูกต้องและ มีความสวยงาม

2. รอยต่อเพื่อการหดตัว (Contraction or control joints) คือรอยต่อที่เกิดจากการกำหนดให้คอนกรีตเกิดการแตกร้าวในตำแหน่งที่ต้องการ เนื่องจากการหดตัวของคอนกรีต

3. รอยต่อเพื่อการขยายตัว (Expansion or isolation joints) คือรอยต่อที่แยกชิ้นส่วนขององค์อาคารเพื่อการขยายหรือตัวหรือหดตัวโดยไม่มี ผลกระทบกับความมั่งคงแข็งแรงขององค์อาคาร

4. รอยต่อเชื่อมต่อ (Connection joints) คือรอยต่อที่ระหว่างชิ้นส่วนโครงสร้างต่างชนิดกันทั้งวัสดุและหน้าที่รอยต่อ ในข้อ 1 ถึง 3 จะเป็นรอยต่อที่เกิดจากวัสดุประเภทเดียวกันและทำหน้าที่ในโครงสร้างเหมือน กัน

หน้าที่ของรอยต่อ

               ตามคำจำกัดความของ National Joint and Cladding Federation (SNJF) กล่าวว่า รอยต่อคือ

a) ส่วนที่เชื่อยต่อระหว่างชิ้นส่วนก่อสร้าง 2 ชิ้นส่วน โดยการใช้วัสดุยาแนว (หรือกระบวนการฉีดอุด) เพื่อป้องกันน้ำ ของเหลว และ/หรือ การแทรกซึมของแก๊ซหรือสารที่ไม่ต้องการให้เข้ามาหรือผ่านรอยต่อนั้น

b) ช่องว่างระหว่างชิ้นส่วนก่อสร้าง 2 ชิ้นส่วน ที่ไม่มีการอุดหรือปิด

                   ในบทความนี้จะถือว่าคำจะถือว่าคำจำกัดความ a) เท่านั้นที่ครอบคลุมเนื้อหาที่จะกล่าวถึงทั้งหมดในบทความนี้ดังนั้นในการยา แนวรอยต่อนั้นจะต้องมีการเลือกวัสดุยาแนวที่เหมาะสมสำหรับรอยต่อสำหรับรอย ต่อนั้นๆ เพื่อที่จะป้องกันการผ่านของแก๊ส ของเหลว หรือสารที่ไม่ต้องการผ่านเข้าไปในรอย เช่น

- ในอาคาร จะต้องยาแนวรอยต่อเพื่อป้องกันผู้อยู่อาศัยหรือสิ่งของอื่นๆ จากการพัดผ่านของลงและฝน

- ในถังเก็บน้ำ คลอง ท่อ และเขื่อน จะต้องยาแนวรอยต่อเพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำ

- ในพื้นโรงงานอุตสาหกรรมจะต้องป้องกันรอยต่อต่อจากการที่มีน้ำหนักบรรทุกกระทำเนื่องจากล้อรถเข็นหรือรถโฟล์กลิฟท์ เป็นต้น

                    ไม่มีวัสดุยาแนวใดที่จะสามารถตอบสนองทุกความต้องการได้ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการกำหนดรายละเอียดของรอยต่อก่อนดัง นี้

• หน้าที่หลัก (Main function) ของรอยต่อนั้น เป็นหน้าที่หลักของวัสดุยาแนวที่จะมีผลโดยตรงอายุของโครงการนั้นๆ ซึ่งวัสดุยาแนวจะถูกเลือกใช้บนพื้นฐานของความทนทานเพื่อให้มั่นใจได้ว่าระ ยเวลาการใช้งานของวัสดุยาแนวนั้นอย่างน้อยต้องมากกว่าระยะเวลาที่เจ้าของงาน ต้องการ

• หน้าที่รอง (Secondary function) ของรอยต่อนั้น โดยทั่วๆ ไปจะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งส่วนมากจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสี (ความสวยงาม)

                    หน้าที่ต่างๆ ของรอยต่อจะเป็นผลมาจากการพัฒนาของเทคโนโลยี่ ความต้องการทางด้านอุตสาหกรรม และความต้องการทางด้านสถาปัตยกรรม ซึ่งหน้าที่ทั่วๆ ไปของรอยต่อมีดังนี้

• หน้าที่อุดหรือปิด (Sealing function) เพื่อป้องกันอากาศ น้ำ เปลวไฟ แก๊ส สารละลายเคมีต่างๆ เป็นต้น

• หน้าที่ทนต่อสภาวะลมฟ้าอากาศ (Weatherproofing function) เพื่อป้องกันกรด ด่าง สารทำละลาย และผลิตภัณฑ์อินทรีย์ต่างๆ

• หน้าที่เป็นฉนวน (Insulation function) เพื่อป้องกันเสียง ความร้อน

• หน้าที่ความสวยงาม (Aesthetic function) เพื่อความสวยงามด้านสี และการตกแต่ง

                   ซึ่งหน้าที่ต่างๆ ดังกล่าวนี้จะเป็นหน้าที่หลัก หน้าที่รอง และหน้าที่เสริม ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของโครงการนั้นๆ โดยหน้าที่หลักทั่วๆ ไปของวัสดุยาแนวนั้นจะทำหน้าที่หลักคือ การป้องการการซึมหรือผ่านของของเหลว (บางครั้งอยู่ภายใต้แรงดัน) ของแข็ง แก๊ส เพื่อป้องกันคอนกรีตจากความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้ ส่วนหน้าที่รองทั่วๆ ไปนั้นคือ วัสดุยาแนวจะทำหน้าที่กันเสียว ความร้อน หรือป้องกันรอยต่อจากการสะสมของสารที่ไม่ต้องการ เป็นต้น

No comments:

Post a Comment